UFABETWIN

UFABETWIN ยิงแล้วต้องฉลอง : ท่าดีใจกลายเป็นสิ่งสำคัญต่อวงการฟุตบอลได้อย่างไร?

สไลด์เข่าไปกับผืนหญ้า กระโดดตัวลอย หรือแม้กระทั่งตีลังกา หลังการยิงประตู กลายเป็นสิ่งคุ้นชินในสายตาแฟนบอล เมื่อการฉลองเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับฟุตบอลในยุคปัจจุบัน

แน่นอนว่าเหตุผลหลักก็คือความสนุก เพราะคงไม่มีอะไรที่จะน่ายินดีไปกว่าการยิงประตูได้ ทว่ามันเป็นแค่ความสนุกจริงหรือ?

การฉลองประตูในยุคแรก ฟุตบอล ถือเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เนื่องจากมันมีกฎกติกาที่ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก ด้วยเป้าหมายหลักเพียงแค่การส่งบอลเข้าไปอยู่ในก้นตาข่ายคู่แข่งให้ได้ ใครทำได้มากกว่าภายในเวลาที่จำกัดคนนั้นคือผู้ชนะ

ดังนั้น ความสนุกของกีฬาชนิดนี้จึงอยู่ที่การยิงประตูที่มีรูปแบบหลากหลาย ตั้งแต่ง่ายๆไปจนถึงพิสดาร และหลายครั้งมันก็สามารถสร้างความตื่นเต้นให้แก่แฟนบอลในสนาม รวมไปถึงอีกหลายล้านคนที่เฝ้าดูผ่านหน้าจอโทรทัศน์

ทั้งนี้ นอกจากการยิงประตูแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถสร้างความสนุกให้แฟนบอลได้ก็คือ “ท่าดีใจ” ที่หลายท่ากลายเป็นที่จดจำ ไม่ว่าจะเป็นท่า “Siu” ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ท่ากอดอกของ คีลิยัน เอ็มบับเป้ หรือท่าชี้มือขึ้นฟ้าของ ลิโอเนล เมสซี่ เป็นต้น

UFABETWIN

อย่างไรก็ดี ท่าทางเหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งปกติ หากย้อนกลับไปในยุค 1940s-1950s

เมื่อมันไม่ค่อยได้รับความสนใจจากแฟนบอลมากนัก และมักจะถูกตัดออกตอนรีเพลย์ด้วยซ้ำ หรือถ้าหากถูกกล้องจับภาพที่คุ้นชินก็จะเป็นผู้เล่นรีบกลับไปที่วงกลมกลางสนามเพื่อรอเขี่ยลูกมากกว่า

เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นการกลับไปยังกลางสนามทันทีเพื่อเริ่มเกมใหม่และยิงประตูอีกครั้ง” มาร์ก เทอร์เนอร์ อาจารย์ด้านสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโซเลนต์ ประเทศอังกฤษ

“มันจึงไม่ใช่การไปยืนอยู่หน้ากล้องและฉลองตามสไตล์ที่เฉพาะเจาะจง มันไม่สมเหตุสมผลที่จะทำแบบนั้น” หรือบางครั้ง สิ่งที่แฟนบอลในยุคนั้นได้เห็น อาจจะเป็นการแสดงความดีใจแบบสงวนท่าที เช่น ยิ้มเล็กน้อย หรือแค่กำหมัดเล็กๆ ซึ่งต่างจากยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก

“พวกเขาค่อนข้างอนุรักษ์นิยมมาก พวกเขามีความเป็นชายมาก จึงไม่มีการแสดงความรู้สึกที่แท้จริง”

 เทอร์เนอร์ ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำคณะธุรกิจ กีฬา และวิสาหกิจ กล่าวต่อ “คนทำประตูได้ในยุค 1950s และต้น 1960s มีรีแอ็กชั่นหลังยิงประตูอยู่นะ มันเป็นสิ่งที่พวกเขาทำหลังจากยิงประตูได้ แต่มันไม่ใช่รีแอ็กชั่นที่ดูเกินจริง เป็นรีแอ็กชั่นที่เข้าใจได้ง่าย” 

นอกจากนี้ การแสดงความดีใจแบบในยุคปัจจุบันอาจจะทำให้แฟนบอลหรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมทีมมองว่าเป็นคนแปลก แถมการเด่นอยู่คนเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ เพราะในยุคนั้น ฟุตบอลเป็นเรื่องของทีมมากกว่าตัวบุคคล

“พวกเขา(แฟนบอล)ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับภาพที่น่าตื่นเต้นแบบนั้น พวกเขาไม่มีวิธีเข้าถึงผู้เล่นในช่วงเวลาหลังยิงประตู” เทอร์เนอร์ อธิบาย แล้วถ้าอย่างนั้น การฉลองหลังยิงประตูเริ่มมีความสำคัญตั้งแต่เมื่อไร?

โลกที่หมุนไป  “หากพูดถึงโรงงานรถยนต์ฟอร์ดในช่วงทศวรรษที่ 1940s-1950s จะพบว่าโรงงานฟอร์ดโดดเด่นขึ้นมาได้จากการผลิตครั้งละมากๆ มันเป็นมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ มันเป็นรถที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการบริโภคจำนวนมาก” เทอร์เนอร์ กล่าว

“และผมคิดว่าการฉลองประตูในการแข่งขันก็มีที่มาจากสิ่งนั้น”

ทศวรรษที่ 1960 คือหนึ่งในยุคที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรม และมันก็ทำให้ผู้คนมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่นักฟุตบอล ที่สื่อทำให้พวกเขาโดดเด่นขึ้นมาในฐานะซูเปอร์สตาร์

การได้รับความสนใจเช่นนี้ทำให้นักฟุตบอลตระหนักถึงตัวตนของตัวเองมากขึ้น และมันก็ทำให้พวกเขามีความปัจเจกยิ่งขึ้นไปอีก และช่วงเวลาในสนามที่เป็นปัจเจกได้มากที่สุดก็คือตอนที่ยิงประตูได้

UFABETWIN

การแสดงความดีใจในยุคนั้นจึงเริ่มมีความแตกต่างและเป็นเอกเทศมากขึ้น

ก่อนที่ฟุตบอลโลก 1970 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แข่งขันฟุตบอลโลกในอเมริกาและมีการออกอากาศเป็นภาพสีในยุโรป ทำให้การฉลองหลังยิงประตูมีบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

เพราะนอกจากความดีใจแล้ว มันยังมีความสุดเหวี่ยงและสะใจ ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือท่าดีใจของ เปเล่ ที่กระโดดขี่เพื่อนร่วมทีมก่อนตะโกนร้องด้วยความดีใจ หลังโหม่งประตูขึ้นนำในเกมนัดชิงชนะเลิศกับอิตาลี ก่อนจะเอาชนะไปได้ 4-1 ในท้ายที่สุด

“ผู้คนกำลังดูอยู่ ผู้คนเคยเห็นการทำประตูเหล่านี้ ประตู ประตู และประตู ดังนั้น นักฟุตบอลจึงตระหนักได้ถึงสิ่งนั้น พวกเขาตระหนักได้ว่าพวกเขามีคนดูอยู่และมีสิ่งที่ต้องแสดงให้เห็น” เทอร์เนอร์ กล่าว

หลังจากนั้นไม่นาน การฉลองประตูก็เริ่มมีบทบาทสำคัญต่อฟุตบอล และการโห่ร้องด้วยความดีใจก็กลายเป็นการโห่ร้องเพื่อตัวเองมากขึ้น เพราะนักฟุตบอลเริ่มรู้ว่า ยิ่งพวกเขาแสดงความดีใจได้แปลกและแตกต่าง มันก็จะทำให้พวกเขาโด่งดังยิ่งขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น โรเจอร์ มิลลา กองหน้าทีมชาติแคเมอรูน แม้ว่าเขาจะลงเล่นในระดับนานาชาติมาตั้งแต่ปี 1973 แต่ช็อตที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือการฉลองประตูด้วยการเต้นระบำที่มุมธงในฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี

“ในช่วงทศวรรษที่ 1990s การฉลองประตูกลายเป็นผลสะท้อนของความเป็นตัวเอง เป็นการผสมผสานทางศิลปะกับการเล่นสนุกไม่จริงจัง มันมีเรื่องของการล้อเลียนมากๆ มันมีความเป็นสมัยใหม่จริงๆ” เทอร์เนอร์ กล่าวต่อ

“มันเกือบจะเป็นเรื่องของการกระทำปกติ มันกลายเป็นเหมือนท่าโพสต์ และมันก็ไม่จำเป็นต้องสร้างขึ้นจากการแข่งขัน” 

จากนั้น การแสดงความดีใจก็ได้ถูกใช้เป็นลายเซ็นของนักฟุตบอลผ่านการทำซ้ำๆจนติดตา ตัวอย่างเช่น ท่าชูมือขึ้นเหนือหัวของ อลัน เชียเรอร์ อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ และ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ที่ถูกล้อเลียนว่าดูเชยและน่าเบื่อ เป็นต้น

UFABETWIN

By admins